[TINY TRIP] DAY 3&4 I MOSCOW เที่ยวรัสเซีย วันที่ 3&4 ไปแบบโง่ๆ ร้องโอ้โหทั้งทริป
ใครพลาดทริปวันที่ 2 อ่านได้ที่นี่ นะคะ
เช้าวันใหม่เริ่มต้นขึ้นอย่างอบอุ่น
ด้วยเพราะได้นั่งทานอาหารที่ซื้อมาเมื่อวานที่ห้องพัก
ไม่ต้องออกไปเดินล่าหาอะไรใส่ท้องแต่เช้า
จากภาพดูเป็นขนมปังแข็งๆจืดๆ
แต่พอกัดเข้าไป โอ้ตับไก่หอมแฮะ ขนมปังเองก็ไม่ได้แข็งเกินไป
เคี้ยวไปเรื่อยๆเริ่มมีรสหวานจากตับและแป้งออกมา ไม่เลวนี่นา
อีอันนึงเป็นไส้ครีมชีสและผักโขม
เนื้อแป้งเหมือนกันกับอันแรกเลย
ก่อนออกจากที่พักวันนี้เริ่มมีคนบ่นว่าปวดเข่า
อากาศที่เย็นจัดบวกกับการเดินตลอดทั้งวัน
ถ้าใครมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพด้านนี้เราแนะนำให้ติดยามาด้วย
เพราะการสื่อสารในกับเภสัชหรือหมออาจจะยากสำหรับคนที่พูดภาษารัสเซียไม่เป็น
(เรานี่แหละพูดไม่เป็น 5555)
ดูท่าทีแล้วไม่เริ่มไม่เข้าท่า เราสองคนต้องอยู่รัสเซียอีกหลายวัน
และต้องเจอกับอากาศหนาวกว่านี้อีกมาก วันนี้เราจึงตัดสินใจล้มโปรแกรมทุกอย่าง
มีเพียงออกไปทานอาหารกลางวันที่ร้านเบอร์เกอร์ชื่อดังเท่านั้น
Farsh เป็นร้านที่ฮิตติดลมบนสำหรับชาวมอสโคว์เลยก็ว่าได้ (อ้างอิงมาจากเพื่อนสาวชาวรัสเซียเลย)
บางวันถึงกับมีคิวต่อยาวออกไปถึงถนนหน้าร้าน
คนป่วยที่ใจรักเรื่องกินก็ถึงกับตาโตพร้อมกับยื่นข้อเสนอว่าอย่างน้อยขอกินก่อนแล้วค่อยพักก็ยังดี
Farsh Burger
วิธีการเดินทาง : รถไฟใต้ดิน ลงที่สถานี Lubyanka
แผนที่ใน Google map : กดดูที่นี่
ด้านในเป็นอารมณ์คล้ายๆบาร์ แต่เปลี่ยนจากแอลกอฮอล์เป็นขนมปัง
วิธีการสั่งอาหารคือเดินไปที่เคาน์เตอร์ด้านหน้า
จิ้มที่เมนูที่อยากสั่ง พร้อมกับเครื่องดื่มค่ะ
พอชำระเงินเสร็จแล้วเขาจะให้เลขคิวเรามา และให้เดินไปหยิบน้ำดื่มเองที่ตู้เย็น
แอบคิดว่าอ้าว แล้วถ้าคนหยิบที่แพงกว่าทำไง แต่ดูเหมือนว่าทุกคนก็ไม่มีใครโกงทางร้านนะ

หรือใครอยากจะลองซื้อกลับไปปรุงเองที่บ้านก็มีขายนะคะ
ของเราสั่งเป็น Black Chicken Burger ไป ราคา 190 RUB (ประมาณ 105 บาท)
และของโอ๊ตเป็นพรีเมี่ยมเบอร์เกอร์เนื้ออะไรสักอย่าง ราคา 580 RUB
ถึงแม้ราคาของเราจะถูกกว่าเยอะแต่ว่า…สุดท้ายแล้วเราก็แย่งโอ๊ตกินอยู่ดีนั่นแหละ 555
มีที่นั่งตรงขอบหน้าต่างอีกแล้ว ไม่รอช้าที่รีบไปจับจอง
เครื่องดื่มโอ๊ตสั่งเป็นเบียร์ Ale ที่ทางร้านทำเอง และของเราเป็นน้ำส้ม (นางเอกสุดพลัง)
เมื่ออาหารเสร็จแล้วหน้าจอ LED ก็จะแสดงหมายเลขของเรา
เป็นสัญญาณว่าให้ไปรับมากินที่โต๊ะได้
จากคนที่ไม่ชอบกินอาหารฟาสฟู๊ดเลยยยยยย
เพราะผักจะเหี่ยวๆและมันเยิ้มทั้งเนื้อและขนมปัง แถมแฉะๆเละๆอีกต่างหาก
แต่มาลองร้านนี้เพราะเพื่อนเชียร์ออกนอกหน้านอกตาค่ะ
กัดไปคำแรกถึงกับตาโตกันเลยทีเดียว
ขนมปังฟูและหอมมาก ผักก็สด เนื้อก็ไม่มันจนเลี่ยน
มันอร่อย ! จริงๆนะ ไปยกให้เป็น ‘ร้านอร่อยมอสโคว์’ เลย !
ของโอ๊ตที่ราคาแพงกว่าเพราะมีเนื้อให้มาถึง 2 ชิ้น กับซอสเผ็ด(ที่ไม่เผ็ดสำหรับเรา)
ทานคู่กับแตงกวาก็อร่อยไปอีกแบบ
ใส่ซอสมาสตาร์ดเข้าไปอีกยิ่งเคี้ยวเพลิน
(คนที่ตามเพจพัชจะรู้ดีว่าปกติพัชจะระวังเรื่องกินเป็นพิเศษ แต่ทริปนี้พัชปล่อยผีค่ะ)
ทริปวันที่ 3 มีแค่เรื่องกินอย่างเดียวค่ะ เนื่องจากสมาชิกมีคนเจ็บเข่า
ต้องพักการเดินหนักๆ 1 วัน เรื่องสุขภาพสำคัญนะคะ โอ๊ตถึงกับปวดจนไข้ขึ้นเลยวันนั้น
ถ้าเรารู้ร่างกายตัวเอง ควรพกยาติดไปด้วยกันไว้ก่อน
เช้าวันที่ 4 หลังจากที่พักกันอย่างเต็มที่ก็พร้อมลุยต่อ
โชคดีของโอ๊ตที่เพื่อนชาวรัสเซียซื้อยาแก้ปวดมาให้
จุดหมายแรกของวันนี้ก็คือ Tsaritsyno palace หนึ่งในสถานที่ Unseen ของเมืองมอสโคว์
สร้างไว้ในสมัยของพระนางแคทเทอรีนมหาราช แห่งนคร St.Petersburg
Tsaritsyno palace
วิธีการเดินทาง : รถไฟใต้ดินลงที่สถานี Tsaritsyno เดินต่อไปอีกประมาณ 300 เมตร
แผนที่ใน Google map : กดดูที่นี่
โดยที่รอบนอกมีสวนสาธารณะขนาดใหญ่ตั้งอยู่
เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่อยากรอเก็บภาพตอนกลางคืนมาก
แต่เพราะเป็นวันสุดท้ายที่จะอยู่มอสโคว์เลยไม่ได้อยู่ต่อเพราะต้องไปเก็บภาพโบสถ์เซนต์บาซิลตอนกลางคืน
ระหว่างทางเดินไปที่พระราชวังก็สวยมาก
มีต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นเต็มไปหมด
ถ้ามาตอนใบไม้เปลี่ยนสีน่าจะได้วิวที่โรแมนติกมากเลยทีเดียว
ความจริงปลายตุลาคมก็ยังเป็นฤดูใบไม้ร่วงอยู่นะ
แต่ปีนี้หิมะมาเร็วกว่าที่คิดเลยได้อารมณ์แบบเหงาๆไปอีก
ด้วยที่อากาศเย็นมากและเราต้องการเข้าห้องน้ำ
จึงรีบวิ่งไปยังคาเฟ่ที่ใกล้ที่สุดในบริเวณพระราชวัง
พร้อมกับสั่งชาร้อนและไส้กรอกมาทานระหว่างขอไออุ่นในร้านเขาไปด้วย
คนขายเองก็น่ารักมากๆ พูดและฟังภาษาอังกฤษไม่ได้
พอเห็นเรามีโทรศัพท์ก็พูดใส่แอพ Google Translate แบบช้าๆ
เพื่อช่วยให้การสื่อสารของคนสองชนชาติง่ายขึ้น
เมื่อร่างกายอุ่นพอที่จะเผชิญกับอากาศ -10 อีกครั้ง
ก็พากันย่ำเท้าเดินกลับไปยังสถานีรถไฟเพื่อไปเก็บอีกหนึ่งร้านคาเฟ่
Волконский หรือชื่อภาษาอังกฤษคือ Wolkonsky
วิธีการเดินทาง : รถไฟใต้ดินลงที่สถานี Stretenskiy Bulvar เดินต่อไปอีกประมาณ 10 นาที
แผนที่ใน Google Map : กดดูที่นี่
Wolkonsky เป็นร้านเบเกอรี่เจ้าแรกที่มีการผสมระหว่างเบเกอรี่ของรัสเซียและยูเครนเข้าด้วยกัน
ขนมต่างๆด้านในก็ละลานตาเต็มไปหมด
กินอะไรดี โฮกกกก อยากกินทุกอย่างเลย 555
ทั้งขนมปัง ขนมเค้ก และคุ๊กกี้ต่างมีหน้าตาน่ารัก
ราวกับว่ากำลังขยิบตาให้พัชลิ้มลองพวกมัน…อย่าสิหวั่นไหว
ชิ้นโน้นก็น่ากิน ชิ้นนี้ก็น่ากิน ตัดใจเลือกแค่ ขนมเค้ก 1 ชิ้น และเบเกอรี่มา 1 อย่าง แถมด้วยช็อคโกแลตร้อนอีก 1 แก้ว
หากถามเรื่องรสชาติ เราบอกเลยว่าไม่ผิดหวัง
เราชอบขนมเค้กของที่รัสเซียนะ มันไม่หวานแหลม
ช็อคโกแลตร้อนก็เข้มข้นและนวลมาก
หลังจากนั่งแช่อิ่มตัวเองอยู่ที่ร้านขนมกว่าชั่วโมง
ก็ได้เวลาขยับออกกำลังกายกันต่อ
คราวนี้จุดหมายปลายทางอยู่ที่ St. Saviour Cathedral
วิธีการเดินทาง : รถไฟใต้ดินลงที่สถานี Kropotkinskaya
แผนที่ใน Google map : กดดูที่นี่
โบสถ์แห่งนี้เมื่อออกจากสถานีรถไฟจะตั้งอยู่ทางซ้ายมือ
เห็นเป็นโดมสีทองเหลืองอร่ามตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า
ไม่รอช้าที่จะรีบข้ามถนนไปยังฝั่งตรงข้าม
ที่นี่ไม่เสียค่าเข้านะคะ แต่ว่าด้านในห้ามถ่ายรูปโดยเด็ดขาด
ก่อนเข้าไปจะมีการตรวจกระเป๋า หากมีกล้องเขาจะให้ใส่ไว้ในกระเป๋าทันที
ภายในค่อนข้างสงบเพราะเหล่าผู้คนที่นับถือศาสนาคริสต์ Orthodox จะมาทำขอพรและทำพิธีการต่างๆ
โบสถ์แห่งนี้มีชั้นใต้ดินที่เราสามารถเดินลงไปได้และมีร้านขายคัมภีร์ไบเบิ้ล ไม้กางเขนที่ผ่านการทำพิธีมาแล้วด้วย
เราตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะรอถ่ายภาพตอนกลางคืนที่โบสถ์แห่งนี้
ตอนออกมาจีงไม่รอช้าที่จะรีบตั้งกล้องเก็บบรรยากาศโรแมนติกๆของเมืองมอสโคว์ยามวิกาลทันที
ภาพที่แสดงอยู่บนหน้าจอเล็กๆบนกล้องตัวน้อยทำให้เรากระตุกยิ้มโดยไม่รู้ตัว
สวยจัง
จากนั้นก็เหมือนคนโดนมนต์สะกด เท้าที่ก้าวออกไปโดยไม่รู้ตัวพร้อมกับสายตาที่กวาดไปทั่วสถาปัตยกรรมแห่งนี้รู้สึกตัวอีกครั้งก็มาหยุดยืนอยู่ตรงด้านหลังของโบสถ์เสียแล้ว
วิวที่เราเห็นอยู่ตรงหน้าถึงกับทำให้เราร้องวี๊ดออกมาเบาๆกับตัวเอง
แบบนี้แหละ นี่แหละที่อยากเจอ
ทริปรัสเซียเป็นครั้งแรกที่ทำให้เราเลิกถ่ายรูปด้วยโหมด AUTO
หากเราจะเปลี่ยนแปลงเพื่ออะไรที่สวยงามสักอย่าง
มันก็ไม่ผิดนี่นา จริงมั้ย 🙂
ก่อนกลับเข้าที่พักขอไปยังแลนด์มาร์กแห่งสุดท้าย
เพราะเราเองก็ไม่รู้ว่าจะได้มีโอกาสกลับไปที่มอสโคว์อีกเมื่อไร
จัตุรัสแดงเราเจอกันอีกครั้ง
วิธีการเดินทาง : รถไฟใต้ดินลงที่สถานี Ohotniy ryad
สมกับที่เป็นไฮไลท์ของเมืองนี้จริงๆ
แม้กระทั่งยามค่ำคืนบริเวณรอบๆก็ยังเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวรุ่นเล็กรุ่นใหญ่
ต่างพากันสลับหน้าที่เป็นตากล้องบ้าง นางแบบบ้าง
เราขอเป็นตากล้องแล้วกัน
นายแบบเองก็ดูท่าว่าจะอินไปกับบรรยากาศตอนกลางคืนไม่ต่างจากเรา
คิดไม่ผิดจริงๆที่กลับไปซ้ำที่นี่อีกครั้ง
เพราะประตูรั้วที่เคยกั้นเราเอาไว้เมื่อวันก่อนได้ถูกเปิดออก
ราวกับว่าต้องการต้อนรับพวกเราใหม่อีกครั้ง
ถึงแม้ผู้คนจะเดินผ่านหน้ากล้องไปมา
เรียกได้ว่าไม่มีมุมไหนที่ไม่มีคนเลยก็ว่าได้
แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคในการรอกดชัตเตอร์สวยๆสักรูปเพื่อเก็บไว้เป็นความทรงจำ
บางอย่างมันอาจดูยากและเป็นไปไม่ได้
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่มีโอกาส
บางทีวิวเปล่าๆที่ไม่มีคน มันก็ดูเหงาเกินไป
คุณว่าจริงมั้ย 🙂
คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายแล้วในทริปนี้ที่เราจะอยู่มอสโคว์
เราอยากจะพาคนอีกหลายๆคนไปที่นั่นเลย
เราอยากให้คนอื่นรู้ว่าประเทศที่ไม่ได้ขึ้นชื่อติด 10 อันดับที่น่าเที่ยว
ก็มีเสน่ห์ของเค้าเหมือนกันนะ
สำหรับใครที่พลาดรีวิววันก่อนๆ มีลิ้งค์แปะไว้ให้ตามด้านล่างเลยนะคะ
More article at:
[Tiny Trip] Day 1 MOSCOW l เที่ยวรัสเซีย วันที่ 1 ไปแบบโง่ๆ ร้องโอ้โหทั้งทริป
[Tiny Trip] Day 2 MOSCOW l เที่ยวรัสเซีย วันที่ 2 ไปแบบโง่ๆ ร้องโอ้โหทั้งทริป
[Tiny Trip] Day 3&4 MOSCOW l เที่ยวรัสเซีย วันที่ 3&4 ไปแบบโง่ๆ ร้องโอ้โหทั้งทริป
[Tiny Trip] Day 5 St. Petersburg l เที่ยวรัสเซีย วันที่ 5 ไปแบบโง่ๆ ร้องโอ้โหทั้งทริป
[Tiny Trip] Day 6 St. Petersburg l เที่ยวรัสเซีย วันที่ 6 ไปแบบโง่ๆ ร้องโอ้โหทั้งทริป
[Tiny Trip] Day 7 St. Petersburg l เที่ยวรัสเซีย วันที่ 7 ไปแบบโง่ๆ ร้องโอ้โหทั้งทริป
[Tiny Trip] Day 8 St. Petersburg l เที่ยวรัสเซีย วันที่ 8 ไปแบบโง่ๆ ร้องโอ้โหทั้งทริป
[Tiny Trip] Day 9&10 Murmansk l เที่ยวรัสเซีย วันที่ 9&10 ไปแบบโง่ๆ ร้องโอ้โหทั้งทริป
[Tiny Trip] Day 11 Murmansk l เที่ยวรัสเซีย วันที่ 11 ไปแบบโง่ๆ ร้องโอ้โหทั้งทริป
[Tiny Trip] Day 12&13&14 Murmansk l เที่ยวรัสเซีย วันที่ 12 13 14 ไปแบบโง่ๆ ร้องโอ้โหทั้งทริป
ว้าว ยามค่ำสวยจัง
ใช่ค่า สวยมากๆตอนกลางคืน บางทียังอยากออกเที่ยวตอนกลางคืนมากกว่าเลย 555
Pingback: Free โปรแกรมเที่ยวรัสเซีย ฉบับเที่ยวเอง 3 เมือง Moscow, St.Petersburg & Murmansk | Tiny Pach